วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อัลเบิรต์ ไอสไตน์

อัลเบิรต์ ไอสไตน์
ประวัติ
ไอน์สไตน์เกิดที่เมืองอูลม์ ประเทศ เยอรมันนี เมื่อ วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ปีต่อมาครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายจากเมืองอูลม์ไปอยู่มิวนิค เขามีจิตใจรักทางดนตรีและสามารถสีไวโอลินได้ดีเมื่อมีอายุเพียง 6ปี พอมีอายุได้ 12ปี เขาก็สามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ด้วยตนเอง ด้วยความที่เขาเรียนเก่งทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เขาจึงสอบเข้าเรียนที่ The Federal Institute of Technology ในซูริคประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หลังจากจบการศึกษาในปี 1900ไอน์สไตน์ก็ทำงานเป็นครูสอนทาง ไปรษณีย์อยู่2ปีจึงได้ทำงานเป็นผู้เชี่ยงชาญทางเทคโนโลยีในสถาบัน แห่งหนึ่งในกรุงบอร์น ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลสาขาฟิสิกส์ในปี1921 ขณะที่เขาอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นช่วงเวลาที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจและทำ การกวาดล้างชาวยิวไอน์สไตน์ซึ่งมีเชื้อสายยิวจึงถูกปลดออกจากการเป็น พลเมืองชาวเยอรมันเขาจึงตกลงใจจะอยู่ในสหรัฐโดยทำงานอยู่ที่สถาบัน การศึกษาในปรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี และได้สัญชาติอเมริกันในปี1941 ไอน์สไตน์ ได้รับการยกย่องอย่างสูงก็โดยเหตุที่เขาให้ทฤษฎีแห่งความ สัมพันธ์ซึ่งเป็นทฤษฎีโดยเฉพาะสำหรับปฏิบัติกับวิชาเคลื่อนที่ของไฟฟ้า และทรรศนะศาสตร์ นอกจากนี้เขายังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสำคัญ อันเป็นประโยชน์ต่อทฤษฎี Quantum และทฤษฎีทั่วไปที่เกี่ยวกับ ความโน้มถ่วง ตลอดชีวิตของเขาได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไว้อย่างมากมาย ไอน์สไตน์ถึง แก่กรรมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1955
ผลงาน
-เป็นผู้ให้กำเนิด "ระเบิดปรมาณู"-เป็นเจ้าของทฤษฎีแห่งความสัมพันธ์-ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921

2012 วันสิ้นโลก

2012 วันสิ้นโลก
2012 ไม่เชื่ออย่าประมาท (กรุงเทพธุรกิจ) ลำพังดูทีเซอร์หนัง กับฟังข้อมูลอันน่ากลัว ก็ยังไม่อยากให้ปักใจเชื่อว่า อีก 3 ปีโลกจะแตก ... ถ้ายังไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับกูรู 3 ท่านนี้ จนกว่าจะถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (2012) การถกเถียงเรื่องวันที่โลกใบนี้จะแตกดับคงนับได้อีกไม่ถ้วน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและรอบด้าน จากผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ฟังความข้างเดียว โดยเฉพาะกับเรื่องระดับ "โลก" อย่างนี้ ต้นทางจากมายา ต้นทางแห่งความคิดชุดนี้มาจากปฏิทินชนเผ่ามายา ชนเผ่าโบราณที่มีความเชี่ยวชาญด้านกาลเวลาและดาราศาสตร์ ซึ่งนับเอาวันดังกล่าวเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือปฏิทินฉบับที่ 3 ของชาวมายา นอกเหนือไปจาก 2 ฉบับแรกที่เป็นฉบับปกติ และฉบับสอง - ศาสนา "จริง ๆ ชาวมายาไม่ได้กำหนดวันชัดเจน ซึ่งปฏิทินแบบ Long Count เป็นการคำนวณระยะยาว ซึ่งแบ่งได้ 5 ยุค และตอนนี้เป็นยุคที่ 5 ซึ่งยุคที่ 5 นี้เริ่มต้นเมื่อ 5,000 กว่าปีมาแล้ว แล้ววันสิ้นสุดของยุคนี้ แปลความออกมาได้ว่าเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2012 แต่ก็ไม่ได้บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น" ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คอลัมนิสต์ นักคิด นักเขียนอิสระ และผู้เขียนหนังสือ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ วันพลิกชะตาโลก ให้ความรู้ปูพื้นฐาน ด้วยความที่เรื่องราวของชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล ค่อนข้างลึกลับน่าค้นหา สมัยนั้นอาณาจักรมายาได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง แต่จู่ ๆ อารยธรรมก็ล่มสลายอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ยิ่งเป็นปริศนาให้คนรุ่นหลังสนใจในชนเผ่านี้มากขึ้นไปอีก "ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชาวมายาทิ้งไว้ให้ จะถูกนำไปตีความเสมอ ๆ โดยเฉพาะเรื่องวันสิ้นสุดโลก" ชัชรินทร์ คิดเช่นนั้น ชาวตะวันตก เช่น นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์สมัครเล่น คือ คนกลุ่มแรก ๆ ที่นำ "สิ่งใด ๆ" นั้นมาตีความ จนข้อมูลต่าง ๆ เริ่มแพร่วงกว้างมากขึ้น และลามไปถึงวงการนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ เป็นที่มาของทฤษฎีและความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่กลายเป็น "ประเด็น" ในโลกปัจจุบัน ตามมาด้วยการตีความสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ไว้ 2 กระแสแบบตรงข้ามกันสุดขั้ว แบบแรก - มองโลกในแง่บวก เป็นทฤษฎีของกลุ่มนิวเอจ (New Age Theories) ที่เสนอว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขึ้นทั้งกายภาพและทางจิตวิญญาณ "ทฤษฎีหนึ่งซึ่งเสนอโดย เทเรนซ์ แมคเคนนา กล่าวถึง "สภาพความใหม่ (novelty)" ซึ่งนิยามว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมโยงระหว่างกันและกันของสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพ และสภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งสูงสุดเป็นอนันต์ในปี 2012" ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดมุมมองในโลกวิทยาศาสตร์ แบบสอง - มองโลกในแง่ลบ เป็นทฤษฎีวันสิ้นโลก (Doomsday Theories) เสนอว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่หลวง ที่จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์และโลกอย่างกว้างขวาง "พูดถึงการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกในปีดังกล่าว ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ครั้งมโหฬาร หมายถึงการระเบิดในระดับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่า ปี 2012 จะเกิดจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด และสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์จะแปรปรวนมากที่สุด เรียกว่า โซลาร์แม็กซิมัม (solar maximum)" พ้องกับข้อมูลจาก NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration : หน่วยงานตรวจสอบและรายการอากาศ ข้อมูลระดับน้ำ และแจ้งเตือนภัยจากภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่ระบุไว้ว่า โซลาร์แมกซิมัมจะเกิดในเดือนพฤษภาคม 2013 จุดบนดวงอาทิตย์ที่ ดร.บัญชา อ้างถึง คือ "จุดดับ" ซึ่งมีการตีความกันต่อว่า ปี 2012 จะเกิดการระเบิดของจุดดับ หรือ การปะทุของดวงอาทิตย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พายุสุริยะ "บางทฤษฎีก็เอาเรื่องดาราศาสตร์มาโยง ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับดาวพฤหัส และดาวเสาร์ ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อจุดดับของดวงอาทิตย์อย่างมหาศาล ชนิดทำลายล้างโลกได้ มันก็ไม่ถึงกับมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ก็เหมือนกับที่มีคนบอกว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั่นแหละ ยังโต้กันไปโต้กันมา" ชัชรินทร์ กล่าว ยังจะมี "ดาวเคราะห์นิบิรุ" ที่ลือกันตั้งแต่ปี 1995 ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้จะพุ่งเข้าชนโลกในปีเดียวกันนี้อีก ที่มาของข่าวชิ้นนี้ ว่ากันว่า คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก
ข้อเท็จ-จริง
2012 วันสิ้นโลก
ในฟากวิทยาศาสตร์ ดร.บัญชา เผยว่า หนังสือ The Maya ซึ่งเป็นเล่มแรกที่จุดพลุเรื่อง 2012 ซึ่งเขียนโดย Michael D.Co ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก (ค.ศ.1966) ระบุว่า เอกภพนี้จะถูกทำลายล้างในวันที่ 24 ธันวาคม 2011 หากในการพิมพ์ครั้งที่ 2 วันดังกล่าวถูกปรับเป็น 11 มกราคม 2012 และ การตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ก็เลื่อนไปเป็น 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน "ส่วนเรื่องการเรียงตัวในแนวเดียวของดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ในแนวเดียวกับหลุมดำมวลมหาศาล (supermassive black hole) ซึ่งเชื่อว่าความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และหลุมดำ จะผนึกกำลังกันทำให้เกิดความปั่นป่วนในโลก แต่ควรรู้ด้วยว่า หลุมดำดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกถึง 30,000 ปีแสง จนมิอาจส่งผลใด ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อโลกและระบบสุริยะได้" ข้อเท็จจริงจาก ดร.บัญชา ส่วนนักคิด นักเขียนอย่างชัชรินทร์ ที่ตอนนี้หันมาศึกษาด้านศาสนาอย่างจริงจังนั้น วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ "โต้กันไปโต้กันมา" ระหว่างฝั่งเชื่อและไม่เชื่อว่า เกิดจากขอบเขตความรู้ด้านจักรวาลของนักวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น การเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่น้อย ไปคัดง้างกับความเชื่อที่เต็มไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็ชวนติดตามอย่างสุด ๆ นั้น ผลก็คือ "ด้วยความที่ยังตอบในหลาย ๆ คำถามไม่ได้ มันจึงไม่สามารถหักล้างความเชื่อทางโบราณได้ มิหนำซ้ำ กลับยิ่งโจษจันกันมากขึ้น" ชัชรินทร์ บอกอีกว่า คงต้องขึ้นกับสติ และวิจารณญาณของผู้อ่าน ผู้ฟังแล้ว
วิทยาศาสตร์ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง

2012 วันสิ้นโลก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "อวสานโลก" กลายมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งคือ ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ซึ่งสร้างจากนิยายของ Rolannd Emmerich ที่ปล่อยทีเซอร์ ออกไปแล้วทั่วโลก "ตอนนี้มันไม่มีที่ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ อย่างน้อย ๆ ในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้ยังไม่มีภาวะคุกคามอะไรที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น" ดร.อนนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้แจงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกระแสดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า การที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ถึงขนาดทำให้โลกสูญสิ้นได้นั้น ไม่มีทางเกิดในระยะเวลา 1-2 ปี แน่นอน เพราะถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่หากกล่าวถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็มีบ้างที่ปะทุขึ้นมา เนื่องมาจากเป็นภัยพิบัติที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือในกรณีที่คาดการณ์ว่ามีอุกกาบาตใหญ่เข้ามาชนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย "โดยปกติแล้วก็จะมีการติดตามวัตถุในอวกาศ และสัญญาณที่ระบุว่ามีวัตถุขนาดใหญ่พอที่จะคุกคามโลกได้นี่ยังไม่มี แต่เราจะบอกว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า อย่างเรื่องของภัยพิบัติขนาดเล็ก ขนาดเล็กที่ว่าก็ตายเป็นแสน ๆ ได้ เช่น สึนามิ แต่ก็ยังไม่ถึงสิ้นโลก และเหตุการณ์แบบนี้มันพร้อมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้" ดร.อนนท์ กล่าว กับบางประเด็นที่ลือกันหนาหู โดยเฉพาะเรื่องการเรียงตัวของดวงดาว ดร.อนนท์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ นอกจากระดับน้ำทะเลขึ้น-ลง เล็กน้อย เช่นเดียวกับการสลับขั้วของแม่เหล็กโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี "แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ยังมีอีกหลายเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง หรือรู้ผิดดังนั้นมันก็คือยังมีความเสี่ยง เราคงต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง" ดร.อนนท์ กล่าว ทั้งนี้ ชัชรินทร์ กล่าวว่า คงเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของคนในสังคมได้ แทนที่จะสนใจแต่เรื่องส่วนตัว กลับทำให้สังคมตื่นตัวและหันมาสนใจเรื่องของภัยพิบัติมากขึ้น แต่ถ้าตัดเรื่องวันออกไปและดูแนวโน้มดาวเคราะห์สีฟ้าในปัจจุบัน ชัชรินทร์ยอมรับว่า โลกกำลังเคลื่อนไปสู่หายนะจริง ๆ "ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มาจากนอกโลก แต่เพราะผู้คนในโลกที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ชั้นบรรยากาศที่ถูกโลกอุตสาหกรรมทำลายมาติดต่อกันเกินกว่า 200 ปี วิถีชีวิตแบบทุนนิยมที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะเรือนกระจก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ความร้อนที่สูงขึ้น โรคระบาดกลายพันธุ์ ฯลฯ" ชัชรินทร์ กล่าว ชัชรินทร์ ยังเปิดเผยต่อว่านักวิทยาศาสตร์อย่าง สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง , อาร์เธอ ซี คลาก ที่รับรู้เรื่องนี้มาตลอด ประกาศนับถอยหลังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว "มีการเลื่อนนาฬิกาสิ้นโลกให้เหลืออีกแค่ 5 นาที เดิมที นาฬิกาเรือนนี้ถูกตั้งไว้ให้เหลือเวลา 7-8 นาทีในยุคสงครามเย็น แต่พอสิ้นสุด เหตุการณ์สงบ ก็ถูกเลื่อนเวลาให้เหลือมากกว่านั้น แต่สุดท้ายด้วยปัจจัยต่าง ๆ นานา ข้างต้น นักวิทยาศาสตร์สรุปกันแล้วว่า เข็มนาทีต้องมาหยุดที่เลข 11" คำถามต่อมาคือ ระหว่างนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร "ดีที่สุดคือ เตรียมใจและเตรียมความคิด อย่างอื่นไม่ต้องเตรียมเลย เพราะมันเกินกว่าเราจะเตรียมได้" ชัชรินทร์ ตอบอย่างอารมณ์ดี นอกจากมองและคิดทุกสิ่งว่าอนิจจัง เวลาที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าเป็นไปได้ หาทางปรับเปลี่ยนความคิด ปฏิสัมพันธ์กับโลกและเพื่อนมนุษย์ เพื่อเวลาที่เหลืออันสั้นจะยืดยาวออกไป หรือไม่เกิดเลย "ไม่ใช่แค่ปิดแอร์ก่อนเวลา หิ้วถุงผ้า หรือกินอาหารออร์แกนิกส์" ชัชรินทร์ พูดไว้เป็นแนวทาง ส่วนเรื่องวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เขาบอกว่า.. "ขนาดในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกถามพระเยซูว่า วันสิ้นสุดโลกจะเกิดเมื่อไหร่ พระเยซูตอบว่า ผู้ที่รู้มีแต่พระเจ้าองค์เดียว" นับถอยหลังกันบ้างไหม

2012 วันสิ้นโลก
มุมมองจาก ธนชัย อุชชิน หรือ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก "..ก็ไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรามีเรื่องที่ต้องดูแลมากกว่าตรงเยอะ คือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระแสวันสิ้นโลกตอนนี้คือทราบว่ามีหนังเรื่อง 2012 ออกมา มีทีเซอร์ออกมา ผมก็ดูบ้างผ่าน ๆ ส่วนตัวแล้วถ้ามีโอกาสก็คงไปชมภาพยนตร์บ้างเหมือนกัน ก็ดูเพลิน ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก" ป๊อด โมเดิร์นด๊อก ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นกระแสที่สังคมกำลังให้ความสนใจ แต่ไม่อยากให้เป็นตัวนำความตื่นตระหนกมาสู่สังคม เขามองว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากกระแสนี้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม "ถ้ามองในแง่ดี การที่สังคมสนใจในประเด็นนี้ มันทำให้คนทั่วไปหันมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่กันยังไง เราดูแลสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า หรือตอนนี้เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น หันกลับมาตั้งคำถามว่าเราทำอะไรเพื่อสังคม หรือสิ่งแวดล้อมบ้างไหม และมองพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราว่าบริโภคสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน" ป๊อด โมเดิร์นด๊อก ขณะที่มุมมองจาก วีรภัทร ทิพยครรชิต เจ้าของเหรียญเงินจากการเข้าร่วมแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2552 กล่าวว่า "ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นปีไหนกันแน่ แต่ในประเด็นของอุกกาบาตชนโลกและแม่เหล็กโลก ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ อย่างเรื่องอุกกาบาต คือมันเกี่ยวข้องกับระบบสุริยะ แล้วในระบบสุริยะเราก็มีอุกกาบาตลอยอยู่เยอะแยะ มันก็มีโอกาสที่จะมาชนโลก เหมือนกับยุคไดโนเสาร์ที่มันต้องสูญพันธุ์ไปก็เพราะอุกกาบาตชนโลก" ในประเด็นสนามแม่เหล็กโลก ก็ไม่ต่างกัน "ถ้าแกนโลกผิดปกติไป สนามแม่เหล็กก็ผิดปกติ รังสีอันตรายพวกนี้ก็จะเข้ามาสู่โลกมากขึ้น ก็อาจจะทำให้คนเราตายได้ แต่ว่าโลกคงไม่ได้ระเบิด แต่คงมีการเสียชีวิตในจำนวนที่มาก ๆ ก็เชื่อว่าทั้งสองประเด็นนี้มีความเป็นไปได้ ขนาดองค์การนาซ่า ยังมีการศึกษาเรื่องนี้กันอยู่เลย" แม้จะเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่วีรภัทรไม่ได้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง กลับมองว่า "โลกร้อน" ที่กำลังเกิดอยู่ ณ ขณะนี้ ใกล้ตัวมากกว่า และควรซีเรียสกับมันมากกว่า "ผมก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม แต่ก็มีสงสัยบ้างว่า เออ.. มันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมก็คงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว แต่จริง ๆ เรื่องโลกร้อนน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงมากกว่า มันมีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดขึ้น ยังไงมันต้องเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผมแน่ ๆ" วีรภัทร กล่าว

ส่วนประกอบของโลก

ส่วนประกอบของโลก
โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ลำดับที่ 3 รูปทรงของโลกมีลักษณะกลมรี ป่องออกด้านข้าง ในแนวนอนมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,755 กิโลเมตร ในแนวดิ่งมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,711 กิโลเมตร ระยะทางต่างกันประมาณ 44 กิโลเมตร แกนโลกมีมุมเอียง 23.5 องศา โลกใช้เวลา 365.24219วัน ในการหมุนรอบดวงอาทิตย์
1.1 ส่วนประกอบของผิวโลกพื้นผิวโลกประกอบด้วยส่วนต่างๆโดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ1.1.1 ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ (hydrosphere) ประกอบด้วย ห้วย หนอง คลอง บึง ลำธาน ทะเล มหาสมุทร รวมทั้งน้ำใต้ดินและน้ำแข็งที่ขั้วโลกด้วย1.1.2 ส่วนที่เป็นพื้นดิน ส่วนที่เป็นพื้นดิน (lithosphere) ประกอด้วยส่วนของพื้นโลกและผิวโลกที่มีลักษณะเป็นของแข้งที่เรียกว่า เปลือกโลก (crust) ห่อหุ้มโลกโดยรอบ เปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมาสมุดจะมีความหนาประมาณ 5 กิโลเมตรเปลือกโลกบนพื้นดินส่วนที่มีความหนามาที่สุด คือ บริเวณเทือกเขา ภูเขา ที่ราบสูง หุบเหว จะมีความหนาประมาณ70 กิโลเมตร1.1.3 ส่วนที่เป็นบรรยากาศ บรรยากาศ (Atmosphere) ประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% คราบอนไดออกไซด์ 0.03% ที่เหลือเป็นแก๊สฮีเลียม มีเทนและไฮโตรเจน บรรรยากาศช่วยป้องกันรังสีที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตผ่านเข้ามาถึงพื้นโลกได้1.1.4 ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิต ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิต ( biosphere) สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีมาแล้ว เริ่มมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทุกส่วนของโลกทั้งในน้ำ บนบก และในอากาศ ซึ่งประกอบด้วย พืช สัตว์ และจุรีนทรีย์ที่อาศัยอยู่อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งมีชิวิตแต่ละชนิดจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง และยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ทำงานตามหน้าที่ 4 ส่วนด้วยกัน คือ
1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
3.) ส่วนแสดงผล (Output Unit)
4.) หน่วยความจำ (Memory Unit)

1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากคน และส่งต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit) เพื่อทำการประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณเป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเอง อุปกรณ์ส่วนรับข้อมูล ได้แก่ - คีย์บอร์ด (keyboard)
- เมาส์ (mouse)
- สแกนเนอร์ (scanner)
- อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ (finger scan)
- ไมโครโฟน(microphone)
- กล้องเว็บแคม (webcam)
อุปกรณ์ใน ส่วนรับข้อมูล ยังมีอีกมากมายและสามารถจะยังมีเพิ่มตามขึ้นไปเรื่อยๆ ตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)


2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจาก ส่วนรับข้อมูล(Input Unit) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานต่างๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์

3.) หน่วยแสดงผล (Output Unit)

หน่วยแสดงผล (Output Unit) เป็นหน่วยที่แสดงผลลัพธ์ที่มาจากการประมวลผลข้อมูล ของส่วนประมวลผลข้อมูล โดยปกติรูปแบบของการแสดงผล มีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ แบบที่สามารถเก็บไว้ดูภายหลังได้ และแบบที่ไม่มีสำเนาเก็บไว้ - แบบที่สามารถเก็บไว้ดูภายหลังได้ เช่น เครื่องพิมพ์ (Printer) และ เครื่องวาด (Plotter)
เครื่องพิมพ์ (Printer)
เครื่องวาด (Plotter)

แบบที่ไม่มีสำเนาเก็บไว้ เช่น จอภาพ(Monitor) , เครื่องฉายภาพ(LCD Projector) และ ลำโพง (Speaker)

4.) หน่วยความจำ (Memory Unit)

หน่วยความจำ (Memory Unit) อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคำสั่ง เพื่อการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจำชั่วคราวและหน่วยความจำถาวร - หน่วยความจำชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access Memory)เป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน ข้อมูลและชุดคำสั่งจะหายไปทุกครั้งที่เราปิดเครื่อง

วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

สมัยโบราณมนุษย์รู้จักการนับด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น นับเศษไม้ ก้อนหิน ลูกปัด การใช้นิ้วมือ การขีดเป็นรอย ชาวจีนคิดประดิษฐ์เครื่องมือนับเรียกว่า “ลูกคิด” (Abacus) โดยได้แนวคิดจากการเอาลูกปัดร้อยเก็บเป็นพวงในสมัยโบราณ จึงนับได้ว่าลูกคิดเป็นเครื่องมือนับที่มนุษย์คิดขึ้นเป็นสิ่งแรกของโลกเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช และยังคงเป็นที่นิยมใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกคิดคำนวณของเด็ก ๆ ที่ฉลาด ครูได้นำเอาลูกคิดมาใช้ช่วยในการฝึกคิดให้กับเด็กและได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง
ลูกคิด

ความพยายามที่จะผลิตเครื่องมือนับเพื่อช่วยผ่อนแรงสมองที่จะต้องคิดคำนวณจำนวนเลขต่าง ๆ มีอยู่ตลอดเวลา จากเครื่องที่ใช้มือ มาใช้เครื่องจักร ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ซึ่งมีวิวัฒนาการตามลำดับดังนี้ค.ศ. 1617 : จอห์น เนเปียร์ (John Nepier) ชาวสก็อต ประดิษฐ์เครื่องคิดเลข “เนเปียร์ส โบนส์” (Nepier’s Bones)ค.ศ. 1632 : วิลเลี่ยม ออตเทรด (William Oughtred) ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ (Slide Rules) เพื่อใช้ในทางดาราศาสตร์ ถือเป็น คอมพิวเตอร์อนาลอก เครื่องแรกของโลก
Adding Machine ของ ปาสคาล
ค.ศ. 1642 : เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal: 1623 - 1662) ชาวฝรั่งเศส ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขแบบมีเฟืองหมุนคือมีฟันเฟือง 8 ตัว เมื่อเฟืองตัวหนึ่งนับครบ 10 เฟืองตัวติดกันทางซ้ายจะขยับไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งหลักการนี้เป็นรากฐานของการพัฒนาเครื่องคำนวณ และถือว่า เครื่องบวกเลข (Adding Machine) ของปาสคาลเป็น เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก
ค.ศ. 1673 : กอตฟริต ฟอน ไลบนิซ (Gottfried von Leibniz : 1646 - 1716) นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ ชาวเยอรมัน ออกแบบเครื่องคิดเลขแบบใช้เฟืองทดเพื่อทำการคูณด้วยวิธีการบวกซ้ำ ๆ กัน ไลบนิซเป็นผู้ค้นพบจำนวนเลขฐานสอง (Binary Number) ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ 1 เป็นระบบเลขที่เหมาะในการคำนวณ เครื่องคิดเลขที่ไลบนิซสร้างขึ้น เรียกว่า Leibniz Wheel สามารถ บวก ลบ คูณ หาร ได้
ค.ศ. 1804 : โจเซฟ มารี แจคการ์ด (Joseph Marie Jacquard : 1752 - 1834) ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้คิดประดิษฐ์ Jacquard’s Loom เป็นเครื่องทอผ้าที่ควบคุมการทอผ้าลายสีต่าง ๆ ด้วยบัตรเจาะรู (Punched – card) จึงเป็นแนวคิดในการประดิษฐ์เครื่องเจาะบัตร (Punched – card machine) สำหรับเจาะบัตรที่ควบคุมการทอผ้าขึ้น และถือว่าเป็นเครื่องจักรที่ใช้โปรแกรมสั่งให้เครื่องทำงานเป็นเครื่องแรก
ค.ศ. 1822 : ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage: 1792 - 1871) ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ มีแนวความคิดสร้างเครื่องหาผลต่าง เรียกว่า Difference Engine โดยได้รับความช่วยเหลือจากราชสมาคม (Royal Astronomical Society) ของรัฐบาลอังกฤษ สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1832

Charles Babbage
จากนั้นในปี ค.ศ. 1833 ชาร์ลส์ แบบเบจ ได้คิดสร้างเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนควบคุม และส่วนคำนวณ โดยออกแบบให้ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำเป็นตัวหมุนเฟือง และนำบัตรเจาะรูมาใช้ในการบันทึกข้อมูล สามารถคำนวณได้โดยอัตโนมัติและเก็บผลลัพธ์ไว้ในหน่วยความจำก่อนแสดงผล ซึ่งจะเป็นบัตรเจาะรูหรือพิมพ์ออกทางกระดาษ แต่ความคิดของแบบเบจ ไม่สามารถประสบผลสำเร็จเนื่องจากเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวย แบบเบจเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1871 ลูกชายของแบบเบจคือ Henry Prevost Babbage ดำเนินการสร้างต่อมาอีกหลายปีและสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1910


Difference


Analytical Engine

หลักการของแบบเบจ ถูกนำมาใช้ในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน แบบเบจจึงได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
เลดี้ เอดา ออกัสตา ลัฟเลซ (Lady Ada Augusta Lovelace) นักคณิตศาสตร์ผู้ร่วมงานของแบบเบจ เป็นผู้ที่เข้าใจในผลงานและแนวความคิดของแบบเบจ จึงได้เขียนบทความอธิบายเทคนิคของการเขียนโปรแกรม วิธีการใช้เครื่องเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความเข้าใจในผลงานของแบบเบจได้ดีขึ้น Ada จึงได้รับการยกย่องให้เป็น นักโปรแกรมคนแรกของโลก

Lady Ada Augusta Lovelace
1850 : ยอร์ช บูล (George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับระบบพีชคณิตแบบใหม่ เรียกว่า Boolean Algebra เพื่อใช้หาข้อเท็จจริงจากเหตุผลต่าง ๆ และแต่งตำราเรื่อง “The Laws of Thoughts” ว่าด้วยเรื่องของการใช้เครื่องหมาย AND, OR, NOT ซึ่งเป็นรากฐานทางคณิตศาสตร์ให้กับการพัฒนาทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สวิตช์ปิดหรือเปิด การไหลของกระแสไฟฟ้า ไหลหรือไม่ไหล ตัวเลขจำนวนบวกหรือลบ เป็นต้น โดยที่ผลลัพธ์ที่ได้จากพีชคณิตจะมีเพียง 2 สถานะคือ จริงหรือเท็จเท่านั้น ซึ่งอาจจะแทนจริงด้วย 1 และแทนเท็จด้วย 0

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิวัฒนาการของมนุษย์

วิวัฒนาการของมนุษย์
แนะนำให้รู้จัก...ลูซี่(Lucy)

ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis)

ลูซี่(Lucy)เป็น ซากฟอสซิล ของออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis) มีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.9 ล้านปีก่อน ซากฟอสซิล ของลูซี่ ที่สมบูรณ์เกือบ 40% ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับ บรรพบุรุษของมนุษย์ ในสมัยนั้น
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิสมีความสูงประมาณ 107-152 cm โดยเพศชาย มีขนาด ร่างกาย ใหญ่กว่าเพศหญิงมาก (sexual dimorphism ลักษณะแบบนี้ ยังพบได้ในกอริลล่า)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีช่วงแขนที่ยาว เกือบจะเท่ากับ ชิมแปนซี มีมือที่ ไม่สามารถกำได้แบบพวกเรา ฟอสซิลกระดูกเชิงกราน และเข่าที่พบ มีลักษณะ เหมือนมนุษย์ปัจจุบัน แสดงว่าสามารถเดิน 2 ขาได้
มีการค้นพบ รอยเท้าเดิน 2 ขา แบบมนุษย์ ปรากฎอยู่บน หินภูเขาไฟ อายุ 3ล้าน 6 แสนปี ที่เลโตลิ (Laetoli) ประเทศแทนซาเนีย ทวีปแอฟริกา เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของมนุษย์ สามารถเดิน 2 ขาได้ เป็นเวลา อย่างน้อย 3ล้าน 6 แสนปี มาแล้ว จากช่วงอายุ เป็นไปได้มากว่า เป็นรอยเท้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีขนาดสมอง พอๆกับลิงชิมแปนซี หน้าตาก็คล้ายๆชิมแปนซี ยกเว้นฟันที่ มีลักษณะ อยู่กึ่งกลาง ระหว่างชิมแปนซี กับมนุษย์ปัจจุบัน ลักษณะเขี้ยวที่สั้นคาดว่า อฟาร์เอนซิส อาจไม่จำเป็นต้องใช้ เขี้ยวต่อสู้กับเพศชายด้วยกัน เพื่อครองความเป็นใหญ่ ในฝูง (ยังคงพบได้ในกอริลล่า)

คาดว่าออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก ออสตราโลพิเธคคัส แอนาเมนซิส และน่าจะเป็น บรรพบุรุษของ มนุษย์ สปีชีส์ถัดมาเกือบทั้งหมด
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีชีวิตอยู่ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ของภูมิอากาศบนโลก สภาพพื้นที่ แห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆ ผืนป่าลดลด กลายเป็นทุ่งหญ้า อาหารของลิงใหญ่ตามต้นไม้ในป่า เริ่มขาดแคลน ความสามารถเดิน 2 ขา ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส เป็นประโยชน์ ในการไปหากินตามทุ่งหญ้า และการย้ายจากป่าหนึ่ง ไปอีกป่าหนึ่ง
ช่วงนี้เองที่คาดว่า ทำให้เกิด วิวัฒนาการของมนุษย์ ความสามารถในการเดิน 2 ขา มือที่ว่างสามารถหยิบจับ อาหาร และการใช้เครื่องมือ มีการพัฒนาการของสมอง สามารถวิวัฒนาการเข้าสู่ ความเป็นมนุษย์ ในที่สุด แต่คงไม่สามารถ เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ในช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงชีวิตของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส

รายละเอียดการค้นพบ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) ค้นพบโดย โดนัลด์ โจฮานสัน (Donald Johanson) และผู้ร่วมงาน ที่ประเทศเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา (site:Hardar) เมื่อปี 1974 ช่วงเวลาประมาณ 20 ปี หลังจากนั้น ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ก็เป็นสปีชีส์ เก่าแก่ที่สุดของ บรรพบุรุษของมนุษย์ ที่เรารู้จัก (จนกระทั่งมีการค้นพบ A.anamensis และ A.ramidus ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่า)

ในช่วงปี'70s มีการตามหาซากฟอสซิล ที่แสดงรอยต่อ ของวิวัฒนาการ จากลิงใหญ่ มาสู่มนุษย์ โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ที่ทวีปแอฟริกา ทีมงานของโดนัลด์ โจฮานสัน ซึ่งขุดค้นอยู่ที่ ฮาร์ดาร์ ในเดือนตุลาคม ปี1974 ได้ค้นพบฟอสซิล ที่สมบูรณ์ถึง 40% มีลักษณะรูปร่างแบบลิงใหญ่ แต่พบกระดูกเชิงกราน และเข่า ซึ่งแสดงถึง ความสามารถ เดิน 2 ขา ได้อย่างมนุษย์ปัจจุบัน เขาตั้งชื่อซากฟอสซิลนั้นว่า ลูซี่ (Lucy) มาจากเพลง Lucy in the sky with daimonds ของ The Beatles ซึ่งเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในค่ายพักช่วงนั้น เขาเรียกชื่อสปีชีส์ ว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) จึงนับเป็นการเริ่ม บทใหม่ที่สำคัญ ในการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์

ฟอสซอลของลูซี่ บริเวณใบหน้าขาดหายไป และซากฟอสซิลของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ที่พบก็มีขนาดโครงร่างที่แตกต่างกัน บ้างใหญ่บ้างเล็ก มีหลายคนถกเถียงกันว่า น่าจะเป็นฟอสซิล ของอย่างน้อย 2 สปีชีส์ หรือเป็นขนาด ที่แตกต่างกัน ระหว่างเพศชาย และหญิง
ดังนั้นงานต่อไปของ โดนัลด์ โจฮานสัน ก็คือต้องหา ฟอสซิล กระโหลกศรีษะ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส อันจะเป็นส่วนสำคัญที่บอก รายละเอียดของสปีชีส์ เขาทำได้สำเร็จในปี 1992 ทำให้เราทราบ ลักษณะใบหน้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส และฟอสซิลกระโหลก ของ ทั้ง 2 เพศที่มีขนาดโครงร่าง ชายใหญ่กว่าหญิง ก็บอกถึงลักษณะ Sexual Dimorphism ซึ่งพบได้ใน ลิงใหญ่ และ บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคแรกๆ

จักรวาล

จักรวาล

จักรวาล คือรูปทรงมหึมาประกอบด้วย กาแลกซีต่างๆ นับ100,000,000,000 (แสนล้าน) กาแลกซี และกาแลกซีทางช้างเผือกเป็นส่วนประกอบย่อยเล็กๆ อันหนึ่งในกาแลกซีเหล่านั้น แต่เมื่อเทียบกับโลกแล้วกาแลกซีจะโตกว่ามากมายแสนคณานับ ไม่มีใครทราบว่า จักรวาลมีขอบเขตหรือจะไปได้ไม่สิ้นสุด นอกจากมวลสารที่กล่าวมาแล้วองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นที่ว่างหรือที่เรียนว่า อวกาศ อย่างไรก็ตามยังมีอะตอม ของไฮโดรเจน ประมาณ 1 อะตอมต่อ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีอุณหภูมิต่ำมาก ประมาณ 3 เคลวิน

กาแลกซี
กาแลกซีต่างๆ ในจักรวาล

ดวงอาทิตย์ โลกและดาวเคราะห์ทั้งหลายเป็นองค์ประกอบย่อยเล็กๆ ในกาแลกซีทางช้างเผือก นอกจากมวลสารที่เป็นดาวฤกษ์ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ยังมีมวลสารประหลาดเรียกว่า หลุมดำ ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ หลุมดำสามารถดึงดูดทุกๆ สิ่ง ที่อยู่ใกล้เข้าไปในตัวของมัน แม้แต่แสงซึ่งเราคิดว่าเป็นพลังงาน ก็ยังถูกหลุมดำดึงดูดลงไปจนไม่มีทางที่จะมีแสงสะท้อนกลับออกมาได้ ดังนั้นหลุมดำจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากไม่มีแสงที่จะปราก ฎต่อสายตาหรือเครื่องมือใดๆแต่อาศัยปรากฏการณ์ที่มีแรงดึงดูดมหาศาลทำให้ดาว ฤกษ์ที่อยู่โคจรเข้าใกล้ถูกแรงดึงดูดทำให้แนวทางโคจรเปลี่ยนไป นักดาราศาสตร์ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและประมาณว่ามวลสารส่วนที่เป็น หลุมดำมีมากกว่าส่วนที่เป็นมวลสารที่เรามองเห็นเสียอีก


กาแลกซีทางช้างเผือก

จักรวาลเกิดขึ้นเมื่อ 14,000 ล้านปีมาแล้ว สัญนิษฐานว่าเกิดมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (big bang) มิติของสถานที่ และเวลาได้เกิดขึ้น ในบัดนั้น และได้มีรังสีคอสมิก (Cosmic Rays) กระจายออกไป มวลสารและพลังงานมหาศาลที่เกิดขึ้นได้พุ่งออกจากจุดเดียวกัน ต่อมาเมื่อ อุณหภูมิเย็นลงเหลือ 3300 เซลเซียส มวลสารค่อยจับตัวเป็นอะตอม มีการจับตัวของมวลสารกลายเป็นดาวฤกษ์มีแสงสว่างส่องออกมา และเกิดเทหวัตถุท้องฟ้า อีกหลายชนิด ดวงอาทิตย์ของเราก็ได้ก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว

จักรวาล มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งมากอัตราการขยายตัวก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ และจักรวาลก็จะเย็นตัวลงตามลำดับและในที่สุดจะไม่มีดาวฤกษ์ดวงใดสามารถส่อง แสงได้อีกต่อไป

ตำนาน 12 ราศี

ตำนาน 12 ราศี
อยากรู้ตำนาน กลุ่มดาว 12 ราศีมากครับวาแต่ละกลุ่มดาวมีที่มาอย่างไร บางกลุ่มก็พอรู้บ้างแต่บางกลุ่มก็ไม่แน่ใจใครที่รู้ก็โพสต์บอกหน่อยนะครับ เท่าที่รู้แล้วก็มีดังนี้
1. กล่มดาวราศี เมษ (Aries) ของท่านมู
เป็นกลุ่มดาวที่มีที่มาจากเรื่องแกะทองคำที่นำเอา สองพี่น้องฟริกซัสกับเฮลลี สองยุวกษัตริย์แห่ง เธสซาลี ที่ต้องหนีแม่เลี้ยงใจโหดที่ยุยงให้กษัตริย์แห่งเทสซาลีบูชายัญโอรสและธิดา เนื่องจากเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เมื่อช่วยฟริกซัสได้แล้ว(แต่ช่วยเฮลลีไม่ได้)ก็เลยถูกฟริกซัสจับฆ่านำมา บูชายัญแก่เทพเจ้าส่วนขนทองคำก็เอาแขนไว้ในป่าที่อาณาจักรซึ่งเป็นที่มาของ เรื่องเจสันตามหาขนแกะทองคำ เทพเจ้าสงสารแกะก็เลยนำมาติดไว้เป็นกลุ่มดาวราศีเมษบนท้องฟ้า
2. กลุ่มดาวราศีพฤศภ (Torus)
อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจแต่น่าจะเป็น ตอนที่เซอุส แปลงร่างเป็นวัวมาลักนางยุโรปาไปเป็นพระมเหสีแล้วพานางมาอยู่ที่เกาะครีตและ มีโอรสกับเซอุส 3 องค์คือ ไมนอส ซาร์พีดอน และ ราดามันทัส(ที่เป็น3เทพองค์รักษ์ตอนภาคฮาเดสนั่นแหละ) เซอุสก็เลยมาเป็นกลุ่มดาวเพื่อระลึกถึง นางยุโรปาเป็นที่มาของชื่อทวีปยุโรปเนื่องมาจากเชื่อว่าคนในทวีปสือเชื้อสาย มาจากนาง
3. ราศีมิถุน (Jemini)
เป็นกลุ่มดาวฝาแฝด คาสเตอร์กับพอลักซ์ ลูกของเซอุสกับนางลีดา ที่จริง ลีดามีสามีอยู่แล้วชื่อ ทินดาริอัส แต่นางลีดาสวยมากเซอุสก็เลยลักลอบเป็นกิ๊กกันโดยแปลงร่างมาเป็นหงส์(ซึ่งก็ ถูกแขวนเป็นดาวบนท้องฟ้าคือกลุ่มดาว cynus ของเฮียวกะไง) เมื่อลีดาตั้งท้องก็คลอดออกมาเป็นไข่ 2 ฟอง ฟองหนึ่งเกิดจากซูสเมื่อไข่แตกก็มี เฮลเลน(คนเดียวกับที่ทำให้เกิดสงครามเมืองทรอย)กับพอลลักซ์คลอดออกมา ทั้ง2เป็นอมตะเพราะเกิดจากเทพเจ้า ส่วนอีกฟองหนึ่งเกิดกับทินดาริอัส เมื่อไข่แตก(โอ้ย เสียว)ก็เกิดมาเป็น ไคลเทมเนสตรา กับคาสเตอร์ คาสเตอร์กับพอลลักซ์รักกันมาไม่เคยแยกจากกัน เมื่อสิ้นชีวิตในสงครามกรุงทรอย พอลลักซ์ได้ไปอยู่ที่วิมานโอลิมปัส แต่ คาสเตอร์ไปอยู่ในนรก ทั้งสองคิดถึงกันมากจนทนไม่ไหว(สงสัยเป็นคู่เกย์แหง)พอลลักซ์ก็เลยขอสละความ เป็นอมตะเพื่อที่จะอยู่กับคาสเตอร์ แต่เซอุสไม่ให้ก็เลยเอาทั้งสองไปแขวนบนฟ้าเป็นกลุ่มดาวที่ชื่อว่า Jemini เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน กล่มดาวนี้มีลักษะณะเรียงตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคนไทยเลยเรียกว่ากลุ่ม ดาวโลง
4. ราศีกรกฎ (Cancer)
เป็นปูที่เฮราพยามส่งมารุมเฮอคิวลิสตอนที่สู้กับไฮดร้าเพื่อที่จะฆ่าเฮอ คิวลิสเนื่องจากแค้นที่เฮอคิวลิสเป็นลูกชู้ของเซอุส (ก็เทวีเฮราเป็นเทวีขี้ฮึงนี่น่า)
5. กลุ่มดาวราศีสิงห์ (Leo) อันนี้ไม่ทราบไม่แน่ใจว่าจะเป็นสิงโตแห่งนีเมียที่ถูกเฮอคิวลิสปราบหรือว่า เป็น แอตะแลนต้า(หญิง)กับเมลาเนียน(ชาย) ที่ถูกซูส(บ้างก็ว่า อโฟไดต์ หรือไม่ก็อัลเตมิส สาปให้เป็นสิงโตเนื่องจากไม่แสดงความเคารพที่เหมาะสมเมื่อสิ้นชีวิตก็เลยยก โทษให้กลายเป็นกลุ่มดาว สิงโต(ราศีสิงห์ Leo ) กับกลุ่มดาวสิงโตเล็ก( Lionet )กลุ่มดาวประจำของ ไลโอเน็ต บัน หนึ่งใน10 บรอนซ์คลอธ)
6. กลุ่มดาวราศีกันย์ (Vergo) เป็นกลุ่มดาวของเทวีแห่งความบริสุทธิ์ที่ชื่อ สไปก้า (ดาวที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาราศีกันย์ก็ตั้งตามชื่อเทวีองค์นี้ Spica)เท่าที่ทราบเป็น 1 ใน 3 เทวีที่ถือพรมจรรย์เช่นเดียวกับ อัลเตมิส อธีน่า แต่เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคทองแดง (ตามตำนานโลกจะแบ่งเป็นสามยุค ยุคทอง(ยุคขอแงความดีไม่มีโจรหรือขโมย มนุษย์ไม่มีความชั่วร้าย) ยุคเงิน(มนุษย์เลวขึ้นนิดหนึ่ง) ยุคทองแดงมนุษย์เลวมาก) เมื่อโลกเข้าสู่ยุคทองแดงแล้วเทวีองค์นี้ทนความชั่วร้ายของมนุษย์ไม่ไหวก็ เลยขอซูสไปเป็นกลุ่มดาวราศีกันย์ ส่วนอีกตำนานหนึ่งเชื่อว่าเป็นเทวีดีมีเทอร์(เซเรส) 1 ใน 12 เทพแห่งโอลิมปัสที่เป็นเทวีแห่งการเก็บเกี่ยวสังเกตได้จากสัญลักษณ์ของกลุ่ม ดาวนี้จะเป็นรูปหญิงสาวถือรวงข้าวที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์เรื่องราวก็ คล้ายกับตำนานแรกคือทนมนุษย์ไม่ได้เลยขอเป็นดวงดาวเหมือนกัน
7. กลุ่มดาวราศีตุลย์ ตำนานไม่ค่อยแน่ใจคล้ายราศีกันย์แต่เป็นเทพีอีกองค์ที่เป็นเทพีแห่งความ ยุติธรรมเลยเอาตราชั่งขึ้นไปแขวนไว้แทน (อันนี้เป็นตำนานที่ไม่แน่ใจที่สุดนะครับอย่าเชื่อมากนักเพราะอาจมีผู้รู้ ที่ดีกว่านี้ก็ได้)
8.กลุ่มดาวราศีพิจิก(กลุ่มดาวแมงป่อง) เป็นแมงป่องตัวที่ต่อยนายพรานโอเรียนน หรือ โอไรออนที่เป็นชายหนุ่มที่ เทพีอัลเตมิสหลงรัก(แต่เทพีอัลเตมิสเคยสาบานว่าจะครองตนเป็นพรหมจรรย์)คู่ แฝดอย่างอพอลโลก็เลยส่งแมงป่องยักษ์มาต่อยเลยตายซี้แหงแก๋ อัลเตมิสสงสารเลยเอา โอไรออนไปแขวนเป็นกลุ่มดาวนายพราน(คนไทยเรียกกลุ่มดาวเต่า,ดาวไถ)ส่วนแมง ป่องที่โดนฆ่าตายด้วยกลายเป็นกลุ่มดาวราศีพิจิก
9. กลุ่มดาวราศีธนู (Sagitarius) เป็นกลุ่มดาวของอมนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้า(เซนทอร์)ฝ่ายดีที่ชื่อ ไครอนเป็นโอรสของโครนัส(พ่อของซอุส) เป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาให้กับวีรบุรษ เช่น เฮอคิวลิส แอสคิวเลปิอัสเมื่อตายก็เลยได้มาอยู่บนท้องฟ้า
10.กลุ่มดาวราศีมกร แพะทะเล (Crapicron)อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจแต่เหมือนจะเป็นแพะชื่อ อะมาลทีอา ตัวที่เลี้ยงดูเซอุสมาตอนที่หลบภัยโครนัสเขาแพะสามารถเสกอาหารทิพย์และนำ อมฤตได้
11.ราศีกุมภ์ อันนี้ไม่มีข้อมูลเลยครับ
12.ราศีมีน ปลาคู่ (Pisces) เป็นรูปลักษณ์ของ อโฟไดต์(วีนัส)กับ อีรอส(คิวปิด) ตอนที่แปลงร่างหลบหนียักษ์ที่มาถล่มเขาโอลมปัส(ข้อมูลมีแคนี้แหละครับ)
หากเพื่อนคนอื่นที่มีข้อมูลในราศีไหนที่ยังขาดหรือผมมีข้อผิดพลานก็ฝากโพสมาแก้ไขกันได้นะคร้าบ

ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)

ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ

แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี

ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน

ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

เศรษฐกิจพอเพียง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา[1][2] และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ[3]

เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9[3][4] และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน[6] โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ

เนื้อหา

[แสดง]

[แก้] แนวคิด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทาง สายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฏีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลอดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ และการอยู่รวมกันของทุกคนในสังคม

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทย ต้องประสบปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจ และ ต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพ เพื่อที่จะยืนหยัดในการพึ่งพาตนเอง และ พัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้

เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชมชุนให้ดีขึ้นโดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ

  1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
  2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเอง

ผลที่เกิดขึ้นคือ

  • เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน
  • ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
  • รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก

[แก้] หลักปรัชญา

Cquote1.svg

...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...

Cquote2.svg
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517[1]

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทาง สายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"

ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญา[7]

อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"[8]

ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต

ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า "หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ"[9] และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"[10]

[แก้] การนำไปใช้

[แก้] ในประเทศไทย

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว" ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท[11]

แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า: "บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"

นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.7[12]


[แก้] นอกประเทศไทย

การประยุกต์นำหลักปรัชญาเพื่อนำพัฒนาประเทศในต่างประเทศนั้น ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ โดยมีหน้าที่ คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทางวิชาการด้านต่าง ๆ จากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชน และยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศได้ถ่ายทอดมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต่างชาติก็สนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยได้ให้ผู้แทนจากประเทศเหล่านี้ได้มาดูงานในหลายระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดับปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ[13]

นอกจากนั้นอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า ต่างชาติสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง[13] เนื่องจากมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ และทราบสาเหตุที่รัฐบาลไทยนำมาเป็นนโยบาย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องการศึกษาเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น

ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวถึงผลสำเร็จอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงโดยองค์การสหประชาชาติ คือ "สหประชาชาติเห็นด้วยกับพระมหากษัติรย์ในเรื่องนี้ [เศรษฐกิจพอเพียง] โดยเริ่มใช้มาตรวัดคุณภาพชีวิตในการวัดความเจริญของแต่ละประเทศ แทนอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งกล่าวถึงแต่ความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น"[9]


[แก้] การตอบรับ

[แก้] ความเข้าใจของประชาชนชาวไทย

ปัญหาหนึ่งของการนำปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์[14] ความชอบธรรมให้กับการพัฒนารูปแบบใด หรือมีนัยยะทางการเมืองอะไรอยู่เบื้องหลัง[15]


[แก้] การเชิดชู

13 นักคิดระดับโลกเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และมีการนำเสนอบทความ บทสัมภาษณ์ เป็นการยื่นข้อเสนอแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่โลก เช่น

  • ศจ. ดร. วูล์ฟกัง ซัคส์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมคนสำคัญของเยอรมนี สนใจการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมาก และมองว่าน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับทุกชาติในเวลานี้ ทั้งมีแนวคิดผลักดันเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นที่รู้จักในเยอรมนี
  • ศจ. ดร.อมาตยา เซน ศาสตราจารย์ชาวอินเดีย เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี ค.ศ. 1998 มองว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการใช้สิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และใช้โอกาสให้พอเพียงกับชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ได้หมายถึงความไม่ต้องการ แต่ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้ดีพอ อย่าให้ความสำคัญกับเรื่องของรายได้และความร่ำรวย แต่ให้มองที่คุณค่าของชีวิตมนุษย์
  • นายจิกมี ทินเลย์ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศภูฏาน ให้ทรรศนะว่า หากประเทศไทยกำหนดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นวาระระดับชาติ และดำเนินตามแนวทางนี้อย่างจริงจัง "ผมว่าประเทศไทยสามารถสร้างโลกใบใหม่จากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สร้างชีวิตที่ยั่งยืน และสุดท้ายจะไม่หยุดเพียงแค่ในประเทศ แต่จะเป็นหลักการและแนวปฏิบัติของโลก ซึ่งหากทำได้สำเร็จ ไทยก็คือผู้นำ"[16]

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวงกว้างขึ้นในที่สุด

และนาย Håkan Björkman รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในประเทศไทย กล่าวเชิดชูปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยังได้ตระหนักถึงวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว[17] และองค์การสหประชาชาติยังได้สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก 166 ประเทศให้ยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน[6]

[แก้] การวิพากษ์

อย่างไรก็ตาม ศ. ดร. เควิน ฮิววิสัน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา แชพเพลฮิลล์ ได้วิจารณ์รายงานขององค์การสหประชาชาติโดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ที่ยกย่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า รายงานฉบับดังกล่าวไม่ได้มีเนื้อหาสนับสนุนว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็น “ทางเลือกที่จำเป็นมากสำหรับโลกที่กำลังดำเนินไปในเส้นทางที่ไม่ยั่งยืนอยู่ ในขณะนี้” เลย[18] และกล่าวว่าเนื้อหาในรายงานแทบทั้งหมดเป็นเพียงการเทิดพระเกียรติ และเป็นเพียงเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อภายในประเทศเท่านั้น[19] ส่วน Håkan Björkman รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า "สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติต้องการที่จะทำให้เกิดการอภิปราย พิจารณาเรื่องนี้ แต่การอภิปรายดังกล่าวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะอาจสุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีโทษถึงจำคุก"[14]

นอกจากนี้ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์อีกว่าแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรูปแบบที่ไม่มี ความแตกต่างไปจาก "ความนิยมท้องถิ่น" (Localism) เลย[20] และยังมีชาวต่างชาติอีกมากที่ยังไม่เข้าใจว่าแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แท้จริงแล้วหมายถึงอะไร[21]