วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมีทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน หิน แร่ธาตุ น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร พืชพรรณสัตว์ต่าง ๆ ภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ ฯลฯ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นตัวการสำคัญยิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงทั้งในทางเสริมสร้างและทำลาย
จะเห็นว่า ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ต่างกันที่สิ่งแวดล้อมนั้นรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎอยู่รอบตัวเรา ส่วนทรัพยากรธรรมชาติเน้นสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่าสิ่งอื่น
ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ก. ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งตามลักษณะที่นำมาใช้ได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วไม่หมดสิ้น ได้แก่
1) ประเภทที่คงอยู่ตามสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย เช่น พลังงาน จากดวงอาทิตย์ ลม อากาศ ฝุ่น ใช้เท่าไรก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จักหมด
2) ประเภทที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น ที่ดิน น้ำ ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ ถ้าใช้ไม่เป็นจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ การปลูกพืชชนิดเดียวกันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในที่เดิม ย่อมทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ได้ผลผลิตน้อยลงถ้าต้องการให้ดินมีคุณภาพดีต้องใส่ปุ๋ยหรือปลูกพืชสลับและหมุนเวียน
2. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป ได้แก่
1) ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่สามารถรักษาให้คงสภาพเดิมไว้ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ประชากรโลก ความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ปลาบางชนิด ทัศนียภาพอันงดงาม ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดขึ้นใหม่ได้
2) ประเภทที่ไม่อาจทำให้มีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติธรรมชาติของดิน พร สวรรค์ของมนุษย์ สติปัญญา เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ ไม้พุ่ม ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ป่า สัตว์บก สัตว์น้ำ ฯลฯ
3) ประเภทที่ไม่อาจรักษาไว้ได้ เมื่อใช้แล้วหมดไป แต่ยังสามารถนำมายุบให้ กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนำกลับมาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ สังกะสี ทองแดง เงิน ทองคำ ฯลฯ
4) ประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปนำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมันก๊าซ อโลหะส่วนใหญ่ ฯลฯ ถูกนำมาใช้เพียงครั้งเดียวก็เผาไหม้หมดไป ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้
ทรัพยากรธรรมชาติหลักที่สำคัญของโลก และของประเทศไทยได้แก่ ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำ แร่ธาตุ และประชากร (มนุษย์)
ข. สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่อยู่รอบ ๆ ตัว ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งเกิดจาก การกระทำของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างกำหนดขึ้น
สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จำแนกได้ 2 ชนิด คือ
1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อากาศ ดิน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ทัศนียภาพต่าง ๆ ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทรและทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพหรือชีวภูมิศาสตร์ ได้แก่ พืชพันธุ์ธรรมชาติต่าง ๆ สัตว์ป่า ป่าไม้ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเราและมวลมนุษย์
สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างขึ้น ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มนุษย์เสริมสร้างขึ้นโดยใช้กลวิธีสมัยใหม่ ตามความเหมาะสมของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม เช่น เครื่องจักร เครื่องยนต์ รถยนต์ พัดลม โทรทัศน์ วิทยุ ฝนเทียม เขื่อน บ้านเรือน โบราณสถาน โบราณวัตถุท อื่น ๆ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ค่านิยม และสุขภาพอนามัย
สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ
1) มนุษย์
2) ธรรมชาติแวดล้อม มนุษย์ เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มากกว่าสิ่ง อื่น เช่น ชอบจับปลาในฤดูวางไข่ ใช้เครื่องมือถี่เกินไปทำให้ปลาเล็ก ๆ ติดมาด้วย ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า เพื่อนำมาสร้างที่อยู่อาศัย ส่งเป็นสินค้า หรือเพื่อใช้พื้นที่เพาะปลูกปล่อยของเสียจากโรงงานและไอเสียจากรถยนต์ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (น้ำเน่า อากาศเสีย)
ธรรมชาติแวดล้อม ส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เช่น แม่น้ำที่พัดพาตะกอนไปทับถมบริเวณน้ำท่วม และปากแม่น้ำต้องใช้เวลานานจึงจะมีตะกอนมาก การกัดเซาะพังทลายของดินก็เช่นเดียวกัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากแรงภายในโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อื่น ๆ ได้แก่ อุทกภัยและวาตภัย ไฟป่า เป็นต้น ซึ่งภัยธรรมชาติดังกล่าวจะไม่เกิดบ่อยครั้งนัก
สรุป มนุษย์เป็นตัวการสร้าง และทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าธรรมชาติ ความสำคัญของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
สหรัฐอเมริกา ได้ส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก (Earth Resources Technology Satellite หรือ ERTS) ดวงแรกของโลกเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ดาวเทียมนี้จะโคจรรอบโลกจากขั้วโลกเหนือไปทางขั้วโลกใต้รวม 14 รอบต่อวันและจะโคจรกลับมาจุดเดิมอีกทุก ๆ 18 วัน ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมจะมีทั้งรูปภาพและเทปสมองกลบันทึกไว้ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของโลก ส่วนประเทศไทยก็ได้รับข้อมูล และภาพที่เป็นประโยชน์ในด้านการเกษตร การสำรวจทางธรณีวิทยา ป่าไม้ การชลประทาน การประมง หลังจากที่สหรัฐส่งดาวเทียมดวงแรกได้ 1 ปีแล้ว ได้ส่งสกายแล็บ และดาวเทียมตามโครงการดังกล่าวอีก 2 ดวง ในปี พ.ศ. 2520 และ พ.ศ. 2522 นับว่ามีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาความรู้ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและการวางโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดบนพื้นโลก
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้ สัตว์ป่าและปลา น้ำ ดิน อากาศ แร่ธาตุ มนุษย์และทุ่งหญ้า
ประวัติโรงเรียนอาเวมารีอา
โรงเรียนอาเวมารีอา เป็นโรงเรียนคาทอลิกสังกัดคณะซิสเตอร์รักกางเขนอุบลราชธานี บริหารงานโดยซิสเตอร์รักกางเขนแห่งอุบลราชธานี ตั้งอยู่เลขที่ 512 ถนนพรหมราช ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จัดเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ทั้งหมด 5 ไร่ 3 งาน ท่ามกลางชุมชนเมือง สะดวกในการสัญจรไปมา ปัจจุบันเปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในระหว่างปี พ.ศ. 2426 บาทหลวงกองสตังต์ ยัง บัปติสโปรโดม และบาทหลวงฟรังซิส มารี ซาเวียร์ เกโก ผู้เผยแพร่ ่ศาสนาคริสต์ ในเขตภาคอีสานและประเทศลาว ได้เข้าพบท่านข้าหลวงประจำจังหวัดอุบลราชธานีขออนุญาตให้ใช้สถานที่ส่วนหนึ่งในบริเวณจวนข้าหลวงเป็นที่พักและที่ทำการ ต่อมาเห็นว่าที่เดิมไม่สะดวกนัก ท่านข้าหลวงจึงได้พระราชทานที่ดินบริเวณบุ่งกาแซวให้ เพื่อสร้างเป็นบ้านพักเด็กกำพร้าและเป็นที่สอนหนังสือให้เด็กกำพร้าประมาณ20 คนให้อ่านออกเขียนได้ต่อมาปี พ.ศ. 2488 ฯพณฯ เกลาดิอุสบาเยมุขนายกมิสซังอุบลราชธานีได้ประชุมคณะที่ปรึกษาของมิสซังเพื่อวางนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินงานมิสซังคณะที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าควรเปิดโรงเรียนสักแห่งเพื่อสอนหนังสือและอบรมกุลบุตรกุลธิดาให้เขาพัฒนา เจริญก้าวหน้า คือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งโรงเรียนอาเวมารีอามีส่วนสำคัญในการจัดตั้งโรงเรียน คือ บาทหลวงศรีนวล ศรีวรกุล ผู้ช่วยผู้ปกครองมิสซังและที่ปรึกษาที่ 1 และซิสเตอร์เทแรซ ฟรังซัวส์ วิเชียร วงศ์พิมพ์ ซึ่งเป็นภคิณีคณะรักกางเขนแห่งอุบลฯซึ่งขณะนั้นเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านการศึกษาของคณะได้เป็นผู้ดำเนินการด้านเอกสารเพื่อขอจัดตั้งโรงเรียน ในที่สุด โรงเรียนอาเวมารีอาได้รับอนุญาตอย่าง เป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2490 โดยมีบาทหลวงคำจวน ศรีวรกุลเป็นเจ้าของและผู้จัดการ ซิสเตอร์แทแรซ ฟรังซัวส์วิเชียร วงศ์พิมพ์ เป็นครูใหญ่วันที่ 30 พฤษภาคม 2492 ได้รับอนุญาตให้เปิดสอนชั้นมูลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน 165 คน วันที่ 20 มกราคม 2496 บาทหลวงคำจวน ศรีวรกุล ย้ายไปประจำที่มิสซังท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ซิสเตอร์เทแรซ ฟรังซัวส์ วิเชียรวงศ์พิมพ์ ได้รับตำแหน่งผุ้จัดการและครูใหญ่ โดยมีซิสเตอร์โซลังย์ อักษรไข่ เป็นเจ้าของโรงเรียน พ.ศ. 2502 โรงเรียนได้ขอเปิดชั้นเรียนมัธยมศึกษา 4-5 แผนกศิลป์จนถึงพ.ศ.2524จึงได้ยุบชั้นเรียนเปิดสอนเพียงชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 พ.ศ. 2503 ได้รับการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลจากกระทรวงศึกษาธิการวันที่ 27 มิถุนายน 2511 ซิสเตอร์เทแรซ ฟรังซัวส์ วิเชียร วงศ์พิมพ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่ ซิสเตอร์ฟีโลแมนน์ ประเทือง ภาษี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการและครูใหญ่แทน วันที่ 31 มีนาคม 2516 ซิสเตอร์ประเทือง ภาษี ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่เบเนดิกตาสุดใจ ศรีสมบุญ รับตำแหน่งผู้จัดการ ซิสเตอร์ลูเซียนประเสริฐ ว่องไว รับตำแหน่งครูใหญ่แทน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2516 วันที่ 20 มกราคม 2496 บาทหลวงคำจวน ศรีวรกุล ย้ายไปประจำที่มิสซังท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ซิสเตอร์เทแรซ ฟรังซัวส์ วิเชียรวงศ์พิมพ์ ได้รับตำแหน่งผุ้จัดการและครูใหญ่ โดยมีซิสเตอร์โซลังย์ อักษรไข่ เป็นเจ้าขอโรงเรียนพ.ศ. 2502 โรงเรียนได้ขอเปิดชั้นเรียนมัธยมศึกษา 4-5 แผนกศิลป์จนถึงพ.ศ.2524จึงได้ยุบชั้นเรียนเปิดสอนเพียงชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 พ.ศ. 2503 ได้รับการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลจากกระทรวงศึกษาธิการวันที่ 27 มิถุนายน 2511 ซิสเตอร์เทแรซ ฟรังซัวส์ วิเชียร วงศ์พิมพ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่ ซิสเตอร์ฟีโลแมนน์ ประเทือง ภาษี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการและครูใหญ่แทนวัน 31 มีนาคม 2516 ซิสเตอร์ประเทือง ภาษี ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่เบเนดิกตาสุดใจ ศรีสมบุญ รับตำแหน่งผู้จัดการ ซิสเตอร์ลูเซียนประเสริฐ ว่องไว รับตำแหน่งครูใหญ่แทน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2516พ.ศ. 2518 ซิสเตอร์สุดใจ ศรีสมบุญ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการ ซิสเตอร์เฟลีเซีย บุญล้อม ปั้นทอง รับตำแหน่ง ผู้จัดการแทน พ.ศ. 2522 ซิสเตอร์ลูเซียน ประเสริฐ ว่องไว ลาออกจากตำแหน่งครูใหญ่ ซิสเตอร์เฮลานาบุญทัน อินทนงค์ รับหน้าที่ครูใหญ่แทนพ.ศ. 2523 ซิสเตอร์บุญล้อม ปั้นทอง ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการ ซิสเตอร์บุญทัน อินทนงค์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการแทนซิสเตอร์ โฮโนริน บวร จำปารัตน์ เข้าดำรงตำแหน่งครูใหญ่แทน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2529 ซิสเตอร์บวร จำปารัตน์ ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนพระกุมารร้อยเอ็ดซิสเตอร์อรนุช หอมจันทร์ เข้ารับตำแหน่งครูใหญ่แทน วันที่ 6 พฤษภาคม 2529 ซิสเตอร์โซลังย์ อักไข่ษร เจ้าของโรงเรียนได้ถึงแก่กรรม ซิสเตอร์บุญทัน อินทนงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามแทน จนกระทั่นซิสเตอร์มารีย์ซาเวียทิพากร บุญประสม เข้ารับตำแหน่งเจ้าของโรงเรียนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2530 วันที่ 31 สิงหาคม 2532 ซิสเตอร์บุญทัน อินทนงค์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการ ซิสเตอร์โฮโนรินบวร จำปารัตน์ รับตำแหน่งผู้จัดการ พ.ศ. 2536 ซิสเตอร์อรนุช หอมจันทร์ ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซิสเตอร์โฮโนรินบวร จำปารัตน์ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการและครูใหญ่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2540 ซิสเตอร์โฮโนรินบวร จำปารัตน์ ไปศึกษาต่อต่างประเทศซิสเตอร์กัลยา หยาดทองคำได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการและครูใหญ่ วันที่ 1 มิถุนายน 2551 ซิสเตอร์กัลยา หยาดทองคำ ไปศึกษาต่อต่างประเทศซิสเตอร์สังเวียน แสนสวัสดิ์ รับตำแหน่งครูใหญ่และซิสเตอร์บวร จำปารัตน์ รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการ จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ ถ้าจะนับกันตามการอนุญาตการจัดตั้งโรงเรียนก็นับได้ว่าโรงเรียนมีอายุครบ 60 ปีหากจะดูกันที่กำเนิดโรงเรียนจริง ๆ ก็นานกว่านั้น ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาโรงเรียนอาเวมารีอาได้พัฒนาก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ได้รับ ความไว้วางใจจากผู้ปกครองมาโดยตลอดทั้งนี้เพราะความร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างคณะผู้บริหาร คณะครูและผู้ปกครองนักเรียนตลอดจนการสนับสนุนจากชุมชนรอบโรงเรียน ได้สร้างเยาวชนของชาติให้เป็นผู้มีความรู้ความ สามารถ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของชาติมาหลายรุ่น

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

การคํานวณค่าไฟฟ้า

การคำนวณค่าไฟฟ้าและอุปกรณ์ก่อนไปคิดค่ไฟฟ้าแต่ละเดือนเรามาทำความเข้าการคิดค่าการใช้ไฟฟ้าเป็นหน่วบก่อนอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดจะมีการบอก ค่าต่างที่สำคัญก็คือ ...Watt [W] วัตต์ ...Amp [I]แอม์...vote [V]โวท์นเช่น คอมพิวเตอร์ให้ดูที่ตัว Power Supply 450 W 220 V สูตรทั้วไป P=V*I P= Watt V=vote I=ampตัวอย่างที่ 1 เตารีดไฟฟ้าอันหนึ่งใช้กำลังไฟฟ้า 1,100 วัตต์ เมื่อต่อเข้ากับความต่างศักย์ 220 โวลต์ จะมีกระแสไฟฟ้าผ่านเท่าไรวิธีทำ เตารีดไฟฟ้าใช้กำลังไฟฟ้า ( P ) = 1,100 วัตต์เตารีดไฟฟ้าต่อกับความต่างศักย์ ( V ) = 220 โวลต์จากสมการ P = VIดังนั้น 1,100 = 220 X II = 1.100/220I = 5 แอมแปร์ตอบ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเตารีดไฟฟ้า 5 แอมแปร์ เป็นตารางการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์ภายในบ้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเตารีดไฟฟ้า 700 – 1,600 wattหม้อหุงข้าวไฟฟ้า 500 – 1,400 wattพัดลมตั้งพื้น 25 – 75 wattตู้เย็น 70 – 260 wattเครื่องปรับอากาศ 1,150 ขึ้นไป watt กาต้มน้ำไฟฟ้า 200 – 1,000 wattสูตรในการคำนวณการใช้ไฟฟ้าพลังงานไฟฟ้า ( หน่วย ) = กำลังไฟฟ้า ( กิโลวัตต์ ) X เวลา ( ชั่วโมง )1 กิโลวัตต์ = 1000 วัตต์ตัวอย่าง พัดลมตั้งพื้น 75 วัตต์ 4 ตัว ถ้าเปิดพร้อมกันจะใช้กำลังไฟฟ้ารวมกันกี่กิโลวัตต์ และถ้าเปิดอยู่นาน 5 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ากี่หน่วยวิธีทำ พัดลมตั้งพื้น 75 วัตต์ 4 ตัว ใช้กำลังไฟฟ้ารวม = 75 X 4 วัตต์ = 300 วัตต์กำลังไฟฟ้า ( กิโลวัตต์ ) = 300/1,000 กิโลวัตต์นั่นคือ พัดลมตั้งพื้นทั้ง 4 ตัว ใช้กำลังไฟฟ้า 0.3 กิโลวัตต์พลังงานไฟฟ้า ( หน่วย ) = กำลังไฟฟ้า ( กิโลวัตต์ ) X เวลา ( ชั่วโมง )พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ = 0.3 กิโลวัตต์ X 5 ชั่วโมง = 1.5 หน่วยตอบ พัดลมตั้งพื้น 4 ตัวนี้เปิดนาน 5 ชั่วโมง สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า = 1.5 หน่วยการคิดคำนวณค่าไฟฟ้ารูปบิล ค่าไฟฟ้า[SIZE=5]การคำนวณค่าไฟฟ้าค่าไฟฟ้าที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องชำระในแต่ละเดือนประกอบด้วย* ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge)* ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตหรือค่า Ft (Energy Adjustment Charge)* และภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT ซึ่งสามารถเขียนให้อยู่ในรูปของสมการได้ดังนี้ค่าไฟฟ้าที่ต้องชำระ = ค่าพลังงานไฟฟ้า + ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต + ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดค่าไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้า หรือตามจำนวนการใช้ไฟฟ้า ถ้าใช้มากขึ้นหน่วยคิดจะสูงขึ้น5 หน่วยแรกหรือน้อยกว่า เป็นเงิน 5.00 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 6 – 15) หน่วยละ 0.70 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 16 – 25) หน่วยละ 0.90 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 26 – 35) หน่วยละ 1.17 บาท65 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 36 –100) หน่วยละ 1.58 บาท50 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 101–150) หน่วยละ 1.68 บาท250 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 151–400) หน่วยละ 2.22 บาทเกินกว่า 400 หน่วย ( หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ 2.53 บาทอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง ประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2534ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตหรือค่า Ftค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต (Ft) = จำนวนหน่วยที่ใช้ X ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสำหรับค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตต่อหน่วยนี้จะเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันนี้เท่ากับ 64.52 สตางค์ต่อหน่วยภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VATภาษีมูลค่าเพิ่ม = ร้อยละ 7 ของผลรวมระหว่างค่าพลังงานไฟฟ้ากับค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตตัวอย่าง การคำนวณค่าไฟฟ้า บ้านหลังหนึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าในระยะเวลา 1 เดือน เท่ากับ 85 หน่วย จะต้องชำระค่า ไฟฟ้าเท่าไร ( คิดค่าพลังงานไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้า )ค่าพลังงานไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้า* 5 หน่วยแรกหรือน้อยกว่า เป็นเงิน 5.00 บาท* 10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 6 – 15) หน่วยละ 0.70 บาท* 10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 16 – 25) หน่วยละ 0.90 บาท* 10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 26 – 35) หน่วยละ 1.17 บาท* 65 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 36 – 100) หน่วยละ 1.58 บาท* 50 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 101 – 150) หน่วยละ 1.68 บาท* 250 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 151 – 400) หน่วยละ 2.22 บาท* เกินกว่า 400 หน่วย ( หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ 2.53 บาท* ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต (Ft) หน่วยละ 0.6452 บาท* ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7 %วิธีทำ คิดค่าพลังงานไฟฟ้าได้ดังนี้5 หน่วยแรก เป็นเงิน = 5.00 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 6 – 15) เป็นเงิน 0.70 x 10 = 7.00 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 16 – 25) เป็นเงิน 0.90 x 10 = 9.00 บาท10 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 26 – 35) เป็นเงิน 1.17 x 10 = 11.70 บาท50 หน่วยต่อไป ( หน่วยที่ 36 – 85) เป็นเงิน 1.58 x 50 = 79.00 บาทค่าพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น = 5.00 + 7.00 + 9.00 + 11.70 + 79.00 = 111.70 บาทค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต (Ft) = จำนวนหน่วยที่ใช้ X ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิตต่อหน่วย= 85 X 0.6452= 54.84 บาทค่าพลังงานไฟฟ้า + ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต = 111.70 + 54.84 = 166.54 บาทภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) = ( ค่าพลังงานไฟฟ้า + ค่าปรับปรุงต้นทุนการผลิต ) x 7/100ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) = ( 111.70 + 54.84 ) x 7/100 = 11.66 บาทตอบ บ้านหลังนี้ต้องชำระค่าไฟฟ้า = 111.70 + 54.84 + 11.66 = 178.20 บาทค่า FT ไม่สามารถคำรนวณได้ ขึ้นอยู่ค่าใช้จ่าย ยิ่งมีการสร้างหรือใช้วัตถุดิบมากก็ยิ่งทำให้ค่า FT สูงมากเลย มีการเพิ่มเสา เดินสายไฟฟ้า ก็มีผลกับค่า FTถ้าต้องการทราบค่า FT คืออะไร เป็นอะไรบางได้จาก Link ด้านล่างสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)ปัตจัยที่มีผลกับค่า FT

ดวงจันทร์

ดวงจันทร์ ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อัลเบิรต์ ไอสไตน์

อัลเบิรต์ ไอสไตน์
ประวัติ
ไอน์สไตน์เกิดที่เมืองอูลม์ ประเทศ เยอรมันนี เมื่อ วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ปีต่อมาครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายจากเมืองอูลม์ไปอยู่มิวนิค เขามีจิตใจรักทางดนตรีและสามารถสีไวโอลินได้ดีเมื่อมีอายุเพียง 6ปี พอมีอายุได้ 12ปี เขาก็สามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ด้วยตนเอง ด้วยความที่เขาเรียนเก่งทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เขาจึงสอบเข้าเรียนที่ The Federal Institute of Technology ในซูริคประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หลังจากจบการศึกษาในปี 1900ไอน์สไตน์ก็ทำงานเป็นครูสอนทาง ไปรษณีย์อยู่2ปีจึงได้ทำงานเป็นผู้เชี่ยงชาญทางเทคโนโลยีในสถาบัน แห่งหนึ่งในกรุงบอร์น ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลสาขาฟิสิกส์ในปี1921 ขณะที่เขาอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นช่วงเวลาที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจและทำ การกวาดล้างชาวยิวไอน์สไตน์ซึ่งมีเชื้อสายยิวจึงถูกปลดออกจากการเป็น พลเมืองชาวเยอรมันเขาจึงตกลงใจจะอยู่ในสหรัฐโดยทำงานอยู่ที่สถาบัน การศึกษาในปรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี และได้สัญชาติอเมริกันในปี1941 ไอน์สไตน์ ได้รับการยกย่องอย่างสูงก็โดยเหตุที่เขาให้ทฤษฎีแห่งความ สัมพันธ์ซึ่งเป็นทฤษฎีโดยเฉพาะสำหรับปฏิบัติกับวิชาเคลื่อนที่ของไฟฟ้า และทรรศนะศาสตร์ นอกจากนี้เขายังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสำคัญ อันเป็นประโยชน์ต่อทฤษฎี Quantum และทฤษฎีทั่วไปที่เกี่ยวกับ ความโน้มถ่วง ตลอดชีวิตของเขาได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไว้อย่างมากมาย ไอน์สไตน์ถึง แก่กรรมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1955
ผลงาน
-เป็นผู้ให้กำเนิด "ระเบิดปรมาณู"-เป็นเจ้าของทฤษฎีแห่งความสัมพันธ์-ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921

2012 วันสิ้นโลก

2012 วันสิ้นโลก
2012 ไม่เชื่ออย่าประมาท (กรุงเทพธุรกิจ) ลำพังดูทีเซอร์หนัง กับฟังข้อมูลอันน่ากลัว ก็ยังไม่อยากให้ปักใจเชื่อว่า อีก 3 ปีโลกจะแตก ... ถ้ายังไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับกูรู 3 ท่านนี้ จนกว่าจะถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (2012) การถกเถียงเรื่องวันที่โลกใบนี้จะแตกดับคงนับได้อีกไม่ถ้วน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและรอบด้าน จากผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ฟังความข้างเดียว โดยเฉพาะกับเรื่องระดับ "โลก" อย่างนี้ ต้นทางจากมายา ต้นทางแห่งความคิดชุดนี้มาจากปฏิทินชนเผ่ามายา ชนเผ่าโบราณที่มีความเชี่ยวชาญด้านกาลเวลาและดาราศาสตร์ ซึ่งนับเอาวันดังกล่าวเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือปฏิทินฉบับที่ 3 ของชาวมายา นอกเหนือไปจาก 2 ฉบับแรกที่เป็นฉบับปกติ และฉบับสอง - ศาสนา "จริง ๆ ชาวมายาไม่ได้กำหนดวันชัดเจน ซึ่งปฏิทินแบบ Long Count เป็นการคำนวณระยะยาว ซึ่งแบ่งได้ 5 ยุค และตอนนี้เป็นยุคที่ 5 ซึ่งยุคที่ 5 นี้เริ่มต้นเมื่อ 5,000 กว่าปีมาแล้ว แล้ววันสิ้นสุดของยุคนี้ แปลความออกมาได้ว่าเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2012 แต่ก็ไม่ได้บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น" ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คอลัมนิสต์ นักคิด นักเขียนอิสระ และผู้เขียนหนังสือ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ วันพลิกชะตาโลก ให้ความรู้ปูพื้นฐาน ด้วยความที่เรื่องราวของชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล ค่อนข้างลึกลับน่าค้นหา สมัยนั้นอาณาจักรมายาได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง แต่จู่ ๆ อารยธรรมก็ล่มสลายอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ยิ่งเป็นปริศนาให้คนรุ่นหลังสนใจในชนเผ่านี้มากขึ้นไปอีก "ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชาวมายาทิ้งไว้ให้ จะถูกนำไปตีความเสมอ ๆ โดยเฉพาะเรื่องวันสิ้นสุดโลก" ชัชรินทร์ คิดเช่นนั้น ชาวตะวันตก เช่น นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์สมัครเล่น คือ คนกลุ่มแรก ๆ ที่นำ "สิ่งใด ๆ" นั้นมาตีความ จนข้อมูลต่าง ๆ เริ่มแพร่วงกว้างมากขึ้น และลามไปถึงวงการนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ เป็นที่มาของทฤษฎีและความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่กลายเป็น "ประเด็น" ในโลกปัจจุบัน ตามมาด้วยการตีความสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ไว้ 2 กระแสแบบตรงข้ามกันสุดขั้ว แบบแรก - มองโลกในแง่บวก เป็นทฤษฎีของกลุ่มนิวเอจ (New Age Theories) ที่เสนอว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขึ้นทั้งกายภาพและทางจิตวิญญาณ "ทฤษฎีหนึ่งซึ่งเสนอโดย เทเรนซ์ แมคเคนนา กล่าวถึง "สภาพความใหม่ (novelty)" ซึ่งนิยามว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมโยงระหว่างกันและกันของสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพ และสภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งสูงสุดเป็นอนันต์ในปี 2012" ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดมุมมองในโลกวิทยาศาสตร์ แบบสอง - มองโลกในแง่ลบ เป็นทฤษฎีวันสิ้นโลก (Doomsday Theories) เสนอว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่หลวง ที่จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์และโลกอย่างกว้างขวาง "พูดถึงการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกในปีดังกล่าว ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ครั้งมโหฬาร หมายถึงการระเบิดในระดับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่า ปี 2012 จะเกิดจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด และสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์จะแปรปรวนมากที่สุด เรียกว่า โซลาร์แม็กซิมัม (solar maximum)" พ้องกับข้อมูลจาก NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration : หน่วยงานตรวจสอบและรายการอากาศ ข้อมูลระดับน้ำ และแจ้งเตือนภัยจากภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่ระบุไว้ว่า โซลาร์แมกซิมัมจะเกิดในเดือนพฤษภาคม 2013 จุดบนดวงอาทิตย์ที่ ดร.บัญชา อ้างถึง คือ "จุดดับ" ซึ่งมีการตีความกันต่อว่า ปี 2012 จะเกิดการระเบิดของจุดดับ หรือ การปะทุของดวงอาทิตย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พายุสุริยะ "บางทฤษฎีก็เอาเรื่องดาราศาสตร์มาโยง ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับดาวพฤหัส และดาวเสาร์ ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อจุดดับของดวงอาทิตย์อย่างมหาศาล ชนิดทำลายล้างโลกได้ มันก็ไม่ถึงกับมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ก็เหมือนกับที่มีคนบอกว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั่นแหละ ยังโต้กันไปโต้กันมา" ชัชรินทร์ กล่าว ยังจะมี "ดาวเคราะห์นิบิรุ" ที่ลือกันตั้งแต่ปี 1995 ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้จะพุ่งเข้าชนโลกในปีเดียวกันนี้อีก ที่มาของข่าวชิ้นนี้ ว่ากันว่า คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก
ข้อเท็จ-จริง
2012 วันสิ้นโลก
ในฟากวิทยาศาสตร์ ดร.บัญชา เผยว่า หนังสือ The Maya ซึ่งเป็นเล่มแรกที่จุดพลุเรื่อง 2012 ซึ่งเขียนโดย Michael D.Co ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก (ค.ศ.1966) ระบุว่า เอกภพนี้จะถูกทำลายล้างในวันที่ 24 ธันวาคม 2011 หากในการพิมพ์ครั้งที่ 2 วันดังกล่าวถูกปรับเป็น 11 มกราคม 2012 และ การตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ก็เลื่อนไปเป็น 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน "ส่วนเรื่องการเรียงตัวในแนวเดียวของดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ในแนวเดียวกับหลุมดำมวลมหาศาล (supermassive black hole) ซึ่งเชื่อว่าความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และหลุมดำ จะผนึกกำลังกันทำให้เกิดความปั่นป่วนในโลก แต่ควรรู้ด้วยว่า หลุมดำดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกถึง 30,000 ปีแสง จนมิอาจส่งผลใด ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อโลกและระบบสุริยะได้" ข้อเท็จจริงจาก ดร.บัญชา ส่วนนักคิด นักเขียนอย่างชัชรินทร์ ที่ตอนนี้หันมาศึกษาด้านศาสนาอย่างจริงจังนั้น วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ "โต้กันไปโต้กันมา" ระหว่างฝั่งเชื่อและไม่เชื่อว่า เกิดจากขอบเขตความรู้ด้านจักรวาลของนักวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น การเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่น้อย ไปคัดง้างกับความเชื่อที่เต็มไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็ชวนติดตามอย่างสุด ๆ นั้น ผลก็คือ "ด้วยความที่ยังตอบในหลาย ๆ คำถามไม่ได้ มันจึงไม่สามารถหักล้างความเชื่อทางโบราณได้ มิหนำซ้ำ กลับยิ่งโจษจันกันมากขึ้น" ชัชรินทร์ บอกอีกว่า คงต้องขึ้นกับสติ และวิจารณญาณของผู้อ่าน ผู้ฟังแล้ว
วิทยาศาสตร์ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง

2012 วันสิ้นโลก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "อวสานโลก" กลายมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งคือ ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ซึ่งสร้างจากนิยายของ Rolannd Emmerich ที่ปล่อยทีเซอร์ ออกไปแล้วทั่วโลก "ตอนนี้มันไม่มีที่ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ อย่างน้อย ๆ ในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้ยังไม่มีภาวะคุกคามอะไรที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น" ดร.อนนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้แจงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกระแสดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า การที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ถึงขนาดทำให้โลกสูญสิ้นได้นั้น ไม่มีทางเกิดในระยะเวลา 1-2 ปี แน่นอน เพราะถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่หากกล่าวถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็มีบ้างที่ปะทุขึ้นมา เนื่องมาจากเป็นภัยพิบัติที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือในกรณีที่คาดการณ์ว่ามีอุกกาบาตใหญ่เข้ามาชนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย "โดยปกติแล้วก็จะมีการติดตามวัตถุในอวกาศ และสัญญาณที่ระบุว่ามีวัตถุขนาดใหญ่พอที่จะคุกคามโลกได้นี่ยังไม่มี แต่เราจะบอกว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า อย่างเรื่องของภัยพิบัติขนาดเล็ก ขนาดเล็กที่ว่าก็ตายเป็นแสน ๆ ได้ เช่น สึนามิ แต่ก็ยังไม่ถึงสิ้นโลก และเหตุการณ์แบบนี้มันพร้อมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้" ดร.อนนท์ กล่าว กับบางประเด็นที่ลือกันหนาหู โดยเฉพาะเรื่องการเรียงตัวของดวงดาว ดร.อนนท์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ นอกจากระดับน้ำทะเลขึ้น-ลง เล็กน้อย เช่นเดียวกับการสลับขั้วของแม่เหล็กโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี "แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ยังมีอีกหลายเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง หรือรู้ผิดดังนั้นมันก็คือยังมีความเสี่ยง เราคงต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง" ดร.อนนท์ กล่าว ทั้งนี้ ชัชรินทร์ กล่าวว่า คงเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของคนในสังคมได้ แทนที่จะสนใจแต่เรื่องส่วนตัว กลับทำให้สังคมตื่นตัวและหันมาสนใจเรื่องของภัยพิบัติมากขึ้น แต่ถ้าตัดเรื่องวันออกไปและดูแนวโน้มดาวเคราะห์สีฟ้าในปัจจุบัน ชัชรินทร์ยอมรับว่า โลกกำลังเคลื่อนไปสู่หายนะจริง ๆ "ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มาจากนอกโลก แต่เพราะผู้คนในโลกที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ชั้นบรรยากาศที่ถูกโลกอุตสาหกรรมทำลายมาติดต่อกันเกินกว่า 200 ปี วิถีชีวิตแบบทุนนิยมที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะเรือนกระจก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ความร้อนที่สูงขึ้น โรคระบาดกลายพันธุ์ ฯลฯ" ชัชรินทร์ กล่าว ชัชรินทร์ ยังเปิดเผยต่อว่านักวิทยาศาสตร์อย่าง สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง , อาร์เธอ ซี คลาก ที่รับรู้เรื่องนี้มาตลอด ประกาศนับถอยหลังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว "มีการเลื่อนนาฬิกาสิ้นโลกให้เหลืออีกแค่ 5 นาที เดิมที นาฬิกาเรือนนี้ถูกตั้งไว้ให้เหลือเวลา 7-8 นาทีในยุคสงครามเย็น แต่พอสิ้นสุด เหตุการณ์สงบ ก็ถูกเลื่อนเวลาให้เหลือมากกว่านั้น แต่สุดท้ายด้วยปัจจัยต่าง ๆ นานา ข้างต้น นักวิทยาศาสตร์สรุปกันแล้วว่า เข็มนาทีต้องมาหยุดที่เลข 11" คำถามต่อมาคือ ระหว่างนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร "ดีที่สุดคือ เตรียมใจและเตรียมความคิด อย่างอื่นไม่ต้องเตรียมเลย เพราะมันเกินกว่าเราจะเตรียมได้" ชัชรินทร์ ตอบอย่างอารมณ์ดี นอกจากมองและคิดทุกสิ่งว่าอนิจจัง เวลาที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าเป็นไปได้ หาทางปรับเปลี่ยนความคิด ปฏิสัมพันธ์กับโลกและเพื่อนมนุษย์ เพื่อเวลาที่เหลืออันสั้นจะยืดยาวออกไป หรือไม่เกิดเลย "ไม่ใช่แค่ปิดแอร์ก่อนเวลา หิ้วถุงผ้า หรือกินอาหารออร์แกนิกส์" ชัชรินทร์ พูดไว้เป็นแนวทาง ส่วนเรื่องวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เขาบอกว่า.. "ขนาดในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกถามพระเยซูว่า วันสิ้นสุดโลกจะเกิดเมื่อไหร่ พระเยซูตอบว่า ผู้ที่รู้มีแต่พระเจ้าองค์เดียว" นับถอยหลังกันบ้างไหม

2012 วันสิ้นโลก
มุมมองจาก ธนชัย อุชชิน หรือ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก "..ก็ไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรามีเรื่องที่ต้องดูแลมากกว่าตรงเยอะ คือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระแสวันสิ้นโลกตอนนี้คือทราบว่ามีหนังเรื่อง 2012 ออกมา มีทีเซอร์ออกมา ผมก็ดูบ้างผ่าน ๆ ส่วนตัวแล้วถ้ามีโอกาสก็คงไปชมภาพยนตร์บ้างเหมือนกัน ก็ดูเพลิน ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก" ป๊อด โมเดิร์นด๊อก ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นกระแสที่สังคมกำลังให้ความสนใจ แต่ไม่อยากให้เป็นตัวนำความตื่นตระหนกมาสู่สังคม เขามองว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากกระแสนี้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม "ถ้ามองในแง่ดี การที่สังคมสนใจในประเด็นนี้ มันทำให้คนทั่วไปหันมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่กันยังไง เราดูแลสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า หรือตอนนี้เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น หันกลับมาตั้งคำถามว่าเราทำอะไรเพื่อสังคม หรือสิ่งแวดล้อมบ้างไหม และมองพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราว่าบริโภคสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน" ป๊อด โมเดิร์นด๊อก ขณะที่มุมมองจาก วีรภัทร ทิพยครรชิต เจ้าของเหรียญเงินจากการเข้าร่วมแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2552 กล่าวว่า "ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นปีไหนกันแน่ แต่ในประเด็นของอุกกาบาตชนโลกและแม่เหล็กโลก ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ อย่างเรื่องอุกกาบาต คือมันเกี่ยวข้องกับระบบสุริยะ แล้วในระบบสุริยะเราก็มีอุกกาบาตลอยอยู่เยอะแยะ มันก็มีโอกาสที่จะมาชนโลก เหมือนกับยุคไดโนเสาร์ที่มันต้องสูญพันธุ์ไปก็เพราะอุกกาบาตชนโลก" ในประเด็นสนามแม่เหล็กโลก ก็ไม่ต่างกัน "ถ้าแกนโลกผิดปกติไป สนามแม่เหล็กก็ผิดปกติ รังสีอันตรายพวกนี้ก็จะเข้ามาสู่โลกมากขึ้น ก็อาจจะทำให้คนเราตายได้ แต่ว่าโลกคงไม่ได้ระเบิด แต่คงมีการเสียชีวิตในจำนวนที่มาก ๆ ก็เชื่อว่าทั้งสองประเด็นนี้มีความเป็นไปได้ ขนาดองค์การนาซ่า ยังมีการศึกษาเรื่องนี้กันอยู่เลย" แม้จะเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่วีรภัทรไม่ได้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง กลับมองว่า "โลกร้อน" ที่กำลังเกิดอยู่ ณ ขณะนี้ ใกล้ตัวมากกว่า และควรซีเรียสกับมันมากกว่า "ผมก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม แต่ก็มีสงสัยบ้างว่า เออ.. มันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมก็คงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว แต่จริง ๆ เรื่องโลกร้อนน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงมากกว่า มันมีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดขึ้น ยังไงมันต้องเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผมแน่ ๆ" วีรภัทร กล่าว

ส่วนประกอบของโลก

ส่วนประกอบของโลก
โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ลำดับที่ 3 รูปทรงของโลกมีลักษณะกลมรี ป่องออกด้านข้าง ในแนวนอนมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,755 กิโลเมตร ในแนวดิ่งมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,711 กิโลเมตร ระยะทางต่างกันประมาณ 44 กิโลเมตร แกนโลกมีมุมเอียง 23.5 องศา โลกใช้เวลา 365.24219วัน ในการหมุนรอบดวงอาทิตย์
1.1 ส่วนประกอบของผิวโลกพื้นผิวโลกประกอบด้วยส่วนต่างๆโดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ1.1.1 ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ (hydrosphere) ประกอบด้วย ห้วย หนอง คลอง บึง ลำธาน ทะเล มหาสมุทร รวมทั้งน้ำใต้ดินและน้ำแข็งที่ขั้วโลกด้วย1.1.2 ส่วนที่เป็นพื้นดิน ส่วนที่เป็นพื้นดิน (lithosphere) ประกอด้วยส่วนของพื้นโลกและผิวโลกที่มีลักษณะเป็นของแข้งที่เรียกว่า เปลือกโลก (crust) ห่อหุ้มโลกโดยรอบ เปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมาสมุดจะมีความหนาประมาณ 5 กิโลเมตรเปลือกโลกบนพื้นดินส่วนที่มีความหนามาที่สุด คือ บริเวณเทือกเขา ภูเขา ที่ราบสูง หุบเหว จะมีความหนาประมาณ70 กิโลเมตร1.1.3 ส่วนที่เป็นบรรยากาศ บรรยากาศ (Atmosphere) ประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% คราบอนไดออกไซด์ 0.03% ที่เหลือเป็นแก๊สฮีเลียม มีเทนและไฮโตรเจน บรรรยากาศช่วยป้องกันรังสีที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตผ่านเข้ามาถึงพื้นโลกได้1.1.4 ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิต ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิต ( biosphere) สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีมาแล้ว เริ่มมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทุกส่วนของโลกทั้งในน้ำ บนบก และในอากาศ ซึ่งประกอบด้วย พืช สัตว์ และจุรีนทรีย์ที่อาศัยอยู่อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งมีชิวิตแต่ละชนิดจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง และยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย